คำสมาส คือ คำที่เกิดจากการนำคำในภาษาบาลีและสันสกฤตมารวมเข้าด้วยกัน เพื่อทำให้เกิดคำใหม่ ที่มีความหมายใหม่ โดยยังมีเค้าของความหมายเดิมอยู่
การสมาสคำ คือ คือ เป็นวิธีการสร้างคำในภาษาบาลีและสันสกฤตเช่นเดียวกับคำประสมของไทย โดยนำคำตั้งแต่ 2 คำมารวมกันเป็นคำเดียว ซึ่งมีลักษณะคล้ายคำประสม แต่มีข้อแตกต่างกัน คือ คำสมาสนั่นคำหลักมักจะอยู่ข้างหลัง คำขยายมักอยู่ข้างหน้า ถ้าเป็นคำประสมก็จะกลับกันคือ คำหลักอยู่ข้างหน้า คำขยายอยู่ข้างหลัง เช่น
- เกิดจากคำมูลตั้งแต่สองคำขึ้นไป
- เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น จะต้องเป็นคำที่มาจากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต มาสมาสกัน เช่น กาฬพักตร์ ภูมิศาสตร์ ราชธรรม บุตรทาน อักษรศาสตร์ อรรถคดี ฯลฯ จะนำคำไทยหรือคำภาษาอื่นมาสมาสกับคำบาลี หรือสันสกฤตไม่ได้ ถือว่าไม่ใช่คำสมาส เช่น
- พยางค์สุดท้ายของคำหน้า หากมีสระ อะ หรือมีตัวการันต์อยู่ ให้ยุบตัวนั้นออก (ยกเว้นคำบางคำ เช่น กิจจะลักษณะ เป็นต้น) เช่น
- แปลความจากหลังมาหน้า เช่น
- ส่วนมากออกเสียงพยางค์ท้ายของคำหน้า แม้จะไม่มีรูปสระกำกับอยู่ โดยจะใช้เสียง อะ อิ และ อุ (เช่น สมณพราหมณ์ ไม่ใช่ สมณะพราหมณ์ / กาลเทศะ ไม่ใช่ กาละเทศะ) แต่บางคำก็ไม่ออกเสียง (เช่น สมัยนิยม สมุทรปราการ)
- คำว่า "วร" เมื่อสมาสกับคำอื่นแล้ว จะนำมาใช้เป็นคำราชาศัพท์ในภาษาไทย และจะแผลงเป็น "พระ" ก็ถือว่าเป็นคำสมาส เช่น
- การอ่านออกเสียงระหว่างคำ เมื่อจะอ่านคำสมาส จะต้องอ่านให้มีเสียงสระเชื่อมติดกันระหว่างคำหน้ากับคำหลัง ถ้าระหว่างคำไม่มีรูปสระ ให้อ่านเหมือนมีสระอะประสมอยู่ เช่น
- คำที่มีคำเหล่านี้อยู่ด้วย มักจะเป็นคำสมาส คือ การ กร กรรม คดี ธรรม บดี ภัย ภัณฑ์ ภาพ ลักษณ์ วิทยา ศาสตร์ ศึกษา ศิลป์
ราชวัง | (บาลี + ไทย) |
ทุนทรัพย์ | (ไทย + สันสกฤต) |
สรรพสิ่ง | (สันสกฤต + ไทย) |
กระยาสารท | (เขมร + บาลี) |
บายศรี | (เขมร + สันสกฤต) |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น