ราชธานี คำหลัก คือ ธานี อยู่ข้างหลัง (เป็นคำสมาส)
- เกิดจากคำมูลตั้งแต่สองคำขึ้นไป
- เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น จะต้องเป็นคำที่มาจากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต มาสมาสกัน เช่น กาฬพักตร์ ภูมิศาสตร์ ราชธรรม บุตรทาน อักษรศาสตร์ อรรถคดี ฯลฯ จะนำคำไทยหรือคำภาษาอื่นมาสมาสกับคำบาลี หรือสันสกฤตไม่ได้ ถือว่าไม่ใช่คำสมาส เช่น
- พยางค์สุดท้ายของคำหน้า หากมีสระ อะ หรือมีตัวการันต์อยู่ ให้ยุบตัวนั้นออก (ยกเว้นคำบางคำ เช่น กิจจะลักษณะ เป็นต้น) เช่น
- แปลความจากหลังมาหน้า เช่น
- ส่วนมากออกเสียงพยางค์ท้ายของคำหน้า แม้จะไม่มีรูปสระกำกับอยู่ โดยจะใช้เสียง อะ อิ และ อุ (เช่น สมณพราหมณ์ ไม่ใช่ สมณะพราหมณ์ / กาลเทศะ ไม่ใช่ กาละเทศะ) แต่บางคำก็ไม่ออกเสียง (เช่น สมัยนิยม สมุทรปราการ)
- คำว่า "วร" เมื่อสมาสกับคำอื่นแล้ว จะนำมาใช้เป็นคำราชาศัพท์ในภาษาไทย และจะแผลงเป็น "พระ" ก็ถือว่าเป็นคำสมาส เช่น
- การอ่านออกเสียงระหว่างคำ เมื่อจะอ่านคำสมาส จะต้องอ่านให้มีเสียงสระเชื่อมติดกันระหว่างคำหน้ากับคำหลัง ถ้าระหว่างคำไม่มีรูปสระ ให้อ่านเหมือนมีสระอะประสมอยู่ เช่น
- คำที่มีคำเหล่านี้อยู่ด้วย มักจะเป็นคำสมาส คือ การ กร กรรม คดี ธรรม บดี ภัย ภัณฑ์ ภาพ ลักษณ์ วิทยา ศาสตร์ ศึกษา ศิลป์
วรพักตร์ | เป็น | พระพักตร์ |
วรเนตร | เป็น | พระเนตร |
แต่ พระเก้าอี้ พระอู่ พระนอง ซึ่งมีคำพระอยู่ข้างหน้า แต่เก้าอี้ อู่ ขนอง ไม่ใช่คำบาลีและสันสกฤต คำราชาศัพท์เหล่านี้จึงไม่ใช่คำสมาส
- เกิดจากคำมูลตั้งแต่สองคำขึ้นไป
- เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น จะต้องเป็นคำที่มาจากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต มาสมาสกัน เช่น กาฬพักตร์ ภูมิศาสตร์ ราชธรรม บุตรทาน อักษรศาสตร์ อรรถคดี ฯลฯ จะนำคำไทยหรือคำภาษาอื่นมาสมาสกับคำบาลี หรือสันสกฤตไม่ได้ ถือว่าไม่ใช่คำสมาส เช่น
- พยางค์สุดท้ายของคำหน้า หากมีสระ อะ หรือมีตัวการันต์อยู่ ให้ยุบตัวนั้นออก (ยกเว้นคำบางคำ เช่น กิจจะลักษณะ เป็นต้น) เช่น
- แปลความจากหลังมาหน้า เช่น
- ส่วนมากออกเสียงพยางค์ท้ายของคำหน้า แม้จะไม่มีรูปสระกำกับอยู่ โดยจะใช้เสียง อะ อิ และ อุ (เช่น สมณพราหมณ์ ไม่ใช่ สมณะพราหมณ์ / กาลเทศะ ไม่ใช่ กาละเทศะ) แต่บางคำก็ไม่ออกเสียง (เช่น สมัยนิยม สมุทรปราการ)
- คำว่า "วร" เมื่อสมาสกับคำอื่นแล้ว จะนำมาใช้เป็นคำราชาศัพท์ในภาษาไทย และจะแผลงเป็น "พระ" ก็ถือว่าเป็นคำสมาส เช่น
- การอ่านออกเสียงระหว่างคำ เมื่อจะอ่านคำสมาส จะต้องอ่านให้มีเสียงสระเชื่อมติดกันระหว่างคำหน้ากับคำหลัง ถ้าระหว่างคำไม่มีรูปสระ ให้อ่านเหมือนมีสระอะประสมอยู่ เช่น
- คำที่มีคำเหล่านี้อยู่ด้วย มักจะเป็นคำสมาส คือ การ กร กรรม คดี ธรรม บดี ภัย ภัณฑ์ ภาพ ลักษณ์ วิทยา ศาสตร์ ศึกษา ศิลป์
ประวัติศาสตร์ | อ่านว่า | ประ – หวัด – ติ – สาด |
นิจศีล | อ่านว่า | นิจ – จะ – สีน |
ไทยธรรม | อ่านว่า | ไทย – ยะ – ทำ |
อุทกศาสตร์ | อ่านว่า | อุ – ทก – กะ – สาด |
อรรถรส | อ่านว่า | อัด – ถะ – รด |
จุลสาร | อ่านว่า | จุน – ละ – สาน |
- เกิดจากคำมูลตั้งแต่สองคำขึ้นไป
- เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น จะต้องเป็นคำที่มาจากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต มาสมาสกัน เช่น กาฬพักตร์ ภูมิศาสตร์ ราชธรรม บุตรทาน อักษรศาสตร์ อรรถคดี ฯลฯ จะนำคำไทยหรือคำภาษาอื่นมาสมาสกับคำบาลี หรือสันสกฤตไม่ได้ ถือว่าไม่ใช่คำสมาส เช่น
- พยางค์สุดท้ายของคำหน้า หากมีสระ อะ หรือมีตัวการันต์อยู่ ให้ยุบตัวนั้นออก (ยกเว้นคำบางคำ เช่น กิจจะลักษณะ เป็นต้น) เช่น
- แปลความจากหลังมาหน้า เช่น
- ส่วนมากออกเสียงพยางค์ท้ายของคำหน้า แม้จะไม่มีรูปสระกำกับอยู่ โดยจะใช้เสียง อะ อิ และ อุ (เช่น สมณพราหมณ์ ไม่ใช่ สมณะพราหมณ์ / กาลเทศะ ไม่ใช่ กาละเทศะ) แต่บางคำก็ไม่ออกเสียง (เช่น สมัยนิยม สมุทรปราการ)
- คำว่า "วร" เมื่อสมาสกับคำอื่นแล้ว จะนำมาใช้เป็นคำราชาศัพท์ในภาษาไทย และจะแผลงเป็น "พระ" ก็ถือว่าเป็นคำสมาส เช่น
- การอ่านออกเสียงระหว่างคำ เมื่อจะอ่านคำสมาส จะต้องอ่านให้มีเสียงสระเชื่อมติดกันระหว่างคำหน้ากับคำหลัง ถ้าระหว่างคำไม่มีรูปสระ ให้อ่านเหมือนมีสระอะประสมอยู่ เช่น
- คำที่มีคำเหล่านี้อยู่ด้วย มักจะเป็นคำสมาส คือ การ กร กรรม คดี ธรรม บดี ภัย ภัณฑ์ ภาพ ลักษณ์ วิทยา ศาสตร์ ศึกษา ศิลป์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น